อัปเดตบริการIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
article-thumbnail

2025-12-18 | อัปเดตผลิตภัณฑ์

การปรับเลเวอเรจสำหรับ HK50 Spot Index CFD 

เราขอแจ้งข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการปรับเลเวอเรจสำหรับ HK50 Spot Index CFD ที่กำลังจะมาถึง  เริ่มตั้งแต่ วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม 2025 เวลา 00:00 น. (UTC+2) เลเวอเรจสำหรับ HK50 จะได้รับการอัปเดตใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการสนับสนุนสภาพแวดล้อมการเทรดที่สมดุลมากยิ่งขึ้น  รายละเอียดการเปลี่ยนแปลง  สินค้า  เลเวอเรจปัจจุบัน  เลเวอเรจใหม่ (วันธรรมดา)  เลเวอเรจสุดสัปดาห์  HK50  100x  500x  100x  สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรสำหรับคุณ  คำแนะนำเพิ่มเติม หากคุณเทรด HK50 เราขอแนะนำให้:  หากคุณมีคำถามหรือต้องการความช่วยเหลือ ทีมซัพพอร์ตของเราพร้อมดูแลคุณเสมอ 

อ่านต่อ

การอัปเดต MT4 Live 3: การจัดเก็บข้อมูลคำสั่งซื้อ   

เพื่อปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์การเทรดของคุณให้ดียิ่งขึ้น เราจะดำเนินการบำรุงรักษาตามกำหนดบนเซิร์ฟเวอร์ MT4 Live 3 ตั้งแต่เวลา 09:00 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม

2025-12-12 | พัฒนาระบบ

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐ รอบวันที่ 12 ธันวาคม 2568

มาร์จิ้นของ CFDs หุ้นสหรัฐหลายตัวจะปรับเป็น 20% ในวันที่ 12 ธ.ค. 2025 อ่านรายละเอียดและวิธีเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลประกาศผลประกอบการ

2025-12-11 | อัปเดตผลิตภัณฑ์

การอัปเดต MT4 Live 7: การจัดเก็บข้อมูลคำสั่งซื้อ

 เพื่อปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์การเทรดของคุณให้ดียิ่งขึ้น เราจะดำเนินการบำรุงรักษาตามกำหนดบนเซิร์ฟเวอร์ MT4 Live 7 ตั้งแต่เวลา 09:00 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม

2025-12-10 | พัฒนาระบบ

การอัปเดต MT4 Demo 5: การจัดเก็บข้อมูลคำสั่งซื้อ

 เพื่อปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์การเทรดของคุณให้ดียิ่งขึ้น เราจะดำเนินการบำรุงรักษาตามกำหนดบนเซิร์ฟเวอร์ MT4 Demo 5

2025-12-05 | พัฒนาระบบ

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐ รอบวันที่ 5 ธันวาคม 2568

เราขอแจ้งให้คุณทราบถึงการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐบางรายการ เนื่องจากใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 

2025-12-04 | อัปเดตผลิตภัณฑ์

การเคลื่อนไหวของตลาดIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
article-thumbnail

2024-11-28 | การเคลื่อนไหวของตลาด

แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? 

แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? ทุกปี นักช้อปต่างรอคอยแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อคว้าข้อเสนอสุดพิเศษ ในขณะที่นักลงทุนก็มองเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน แต่ด้วยมุมมองที่ต่างออกไป เพราะสองมหกรรมลดราคานี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเติมสินค้าลงตะกร้าเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคและแนวโน้มของตลาดอีกด้วย แต่คำถามสำคัญคือ: ระหว่างแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์ วันไหนส่งผลต่อตลาดหุ้นมากกว่ากัน?  ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ว่าสองวันนี้เปรียบเทียบกันอย่างไร ทำไมนักลงทุนถึงให้ความสำคัญ และหุ้นตัวไหนที่ควรอยู่ในลิสต์ที่คุณต้องจับตามอง  ศึกประชัน แบล็กฟรายเดย์ ปะทะ ไซเบอร์มันเดย์  จากข้อมูลของสหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ (NRF) ในปี 2566 มีผู้บริโภคถึง 200.4 ล้านคนที่ออกมาช้อปปิ้งในช่วงวันหยุด 5 วัน ตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าจนถึงไซเบอร์มันเดย์ ซึ่งทำลายสถิติปี 2565 ที่มีจำนวน 196.7 ล้านคน  แบล็กฟรายเดย์ ถือเป็นการเปิดฤดูกาลช้อปปิ้งช่วงวันหยุด ที่มักเกี่ยวข้องกับการลดราคาที่หน้าร้าน แม้ว่าการช้อปปิ้งออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน โดยทั่วไป แบล็กฟรายเดย์ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ เช่น Walmart (NYSE: WMT) และ Target (NYSE: TGT) ที่แข่งขันกันด้วยโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า  ไซเบอร์มันเดย์ เป็นคู่แข่งในฝั่งออนไลน์ มุ่งเน้นการช้อปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ซ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย […]

อ่านต่อ
article-thumbnail

2024-11-22 | การเคลื่อนไหวของตลาด

การกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ Netflix ปี 2567

รายงานปริมาณการซื้อขายของ Doo Prime ประจำเดือนตุลาคม 2567 

รายงานปริมาณการซื้อขายของ Doo Prime ประจำเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมการซื้อขายที่แข็งแกร่งและประสิทธิภาพที่มั่นคงบนแพลตฟอร์มของเรา  ภาพรวมปริมาณการซื้อขายเดือนตุลาคม2567    ตามรายงานระบุว่า ปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของ Doo Prime ในเดือนตุลาคม 2567 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 176.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 37.44% จากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน (ADV) ในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 5.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 33.01% จากเดือนกันยายน  จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง และการไม่ชัดเจนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การลงทุนในทองคำพุ่งสูงขึ้นทำลายสถิติในเดือนตุลาคม  นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปได้ดำเนินรอยตามธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้น ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนและผลักดันกิจกรรมการซื้อขายให้ถึงระดับสูงสุดใหม่  เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน (ADV) ของ Doo Prime ได้เพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ปริมาณการซื้อขายรวมของ Doo Prime อยู่ที่ 1,160.10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ […]

2024-11-13 | การเคลื่อนไหวของตลาด

11.11 ที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว: หุ้นตัวไหนที่น่าจับตามอง? 

เทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ในปี 2567 เริ่มเร็วขึ้นกว่าที่เคย!  Douyin ได้เริ่มโปรโมชั่น 11.11 ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ตามมาด้วย JD และ Tmall ที่ได้เริ่มในวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งเร็วกว่าปีที่แล้วถึงสิบวัน ระยะเวลาที่ขยายเพิ่มขึ้นนี้ทำให้ 11.11 ปี 2567 กลายเป็นเทศกาลช้อปปิ้งที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา  นอกเหนือจากการขยายระยะเวลาแล้ว แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยังหันมาเน้นช่วยลดภาระให้กับผู้ค้า แทนที่จะเน้นการลดราคาจนเกิด “สงครามราคา” อย่างที่เคยเป็น ในส่วนของข้อมูลยอดขายรอบแรกของเทศกาล 11.11 ได้เผยออกมา ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เริ่มได้รับความสนใจในตลาด  ในโอกาสครบรอบ 16 ปีของเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ฟีเจอร์และแนวโน้มใหม่ ๆ กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับงานในปีนี้ หุ้นตัวไหนบ้างที่มีโอกาสได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการพัฒนานี้? และนักลงทุนจะสามารถวางแผนให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุดจากกระแสของเทศกาลนี้ได้อย่างไร? มาร่วมศึกษาไปพร้อมกัน  การไร้ซึ่งสงครามราคา: มีอะไรใหม่สำหรับ 11.11 ในปีนี้?  การเปลี่ยนแปลงสำคัญปีนี้คือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ร่วมมือกันเพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการชำระเงินมากขึ้นกว่าเดิม Wu Jia รองประธานของ Alibaba และหัวหน้าฝ่าย […]

2024-11-07 | การเคลื่อนไหวของตลาด

Trick or Trade: 3 หุ้นค้าปลีกที่น่าจับตามองในวันฮาโลวีนนี้! 

Trick or Trade วันฮาโลวีนไม่ใช่แค่การสวมชุดแฟนซี รับลูกกวาด และการตกแต่งที่น่าขนลุกเพียงเท่านั้น แต่มันยังเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในการกอบโกยผลประโยชน์จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในตลาดค้าปลีก  เมื่อวันฮาโลวีนใกล้เข้ามา บริษัทบางแห่งมีความสามารถในการดึงดูดผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งสร้างโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักลงทุนในภาคค้าปลีก  บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หุ้นค้าปลีกที่น่าจับตามอง และจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายในช่วงฮาโลวีน พร้อมสำรวจโอกาสในการซื้อขายที่น่าสนใจสำหรับแต่ละตัว  การคาดการณ์การใช้จ่ายในวันฮาโลวีน 2567  ตามข้อมูลจากสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ (National Retail Federation) การใช้จ่ายในวันฮาโลวีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า ปีนี้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ คาดว่าจะใช้จ่ายอย่างมหาศาลอีกครั้ง โดยมีการคาดการณ์เกินกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากผู้คนลงทุนในชุดแฟนซี ลูกกวาด การตกแต่ง และอุปกรณ์จัดงานปาร์ตี้ ผู้ค้าปลีกที่เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล สินค้าจัดงานปาร์ตี้ และของตกแต่งในราคาย่อมเยาว์จะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยปีนี้มีความสนใจในประสบการณ์วันฮาโลวีนมากยิ่งขึ้น  ดังนั้น มาดูสามหุ้นค้าปลีกที่มีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีในช่วงวันฮาโลวีนนี้กันเถอะ  หุ้นค้าปลีก 3 ตัวที่น่าจับตามองในวันฮัลโลวีนนี้  1. Amazon, Inc. (NASDAQ: AMZN)  ทำไมเทรดเดอร์ควรจับตามอง  Amazon กลายเป็นแหล่งที่ผู้บริโภคเลือกใช้สำหรับความต้องการในวันฮาโลวีน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์หลากหลายและการจัดส่งที่รวดเร็ว ตั้งแต่ชุดแฟนซีไปจนถึงการสั่งซื้อขนมหวานจำนวนมาก โปรแกรม Prime ของ Amazon และตัวเลือกการจัดส่งที่รวดเร็วตอบสนองความต้องการในช่วงปลายฤดูกาล […]

2024-10-31 | การเคลื่อนไหวของตลาด

ข้อมูลเชิงลึกIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
article-thumbnail

2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

อ่านต่อ

มาถึงก่อนกำหนด: หุ้นกลุ่ม AI ลดราคาก่อนใคร 

ตลาดไม่รอให้ถึงวัน Black Friday ในปีนี้ หุ้นกลุ่ม AI เปิดฤดูกาลลดราคาของตัวเองล่วงหน้า และจังหวะครั้งนี้สะท้อนชัดว่า มุมมองนักลงทุน กำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน  หลังจากกระแสความร้อนแรงติดต่อกันหลายเดือน ในที่สุดนักเทรดก็เริ่มเบรก ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับท่าทีของเฟด ข้อมูลแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง และความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อโอกาสการลดดอกเบี้ยระยะสั้น ล้วนเป็นแรงกดดันที่ทำให้ตลาดปรับฐานอย่างรวดเร็ว  สรุปง่ายๆ คือ หุ้นเด่นแห่งปี 2025 เริ่มย่อตัวจริงจัง และรอบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผลประกอบการเลย แต่เกิดจากอารมณ์ของตลาดและแรงกดดันด้านมหภาคเป็นหลัก  เรามาแยกดูให้ชัดว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นการปรับลงครั้งนี้ และทำไมมันจึงสำคัญต่อหุ้นกลุ่ม AI ก่อนเข้าสู่เดือนธันวาคม  อย่างไร ฤดูกาล Black Friday และข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค กดดันหุ้นกลุ่ม AI  ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่าง ใส่ราคา คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ยเชิงรุก จากนั้นเรื่องก็เปลี่ยนไปทันที  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายนออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ทำให้ตลาดต้องกลับมาคิดใหม่ว่าเฟดพร้อมจะผ่อนนโยบายเร็วแค่ไหน โดยปกติแล้ว แรงงานแข็งแกร่งมักเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ครั้งนี้กลับส่งสัญญาณไม่ดีต่อหุ้นเติบโตสูง  หุ้นกลุ่ม AI มักทำผลงานได้ดีในช่วงดอกเบี้ยต่ำ เพราะมูลค่ากำไรในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เมื่อความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยเริ่มจางลง หุ้นเติบโตก็เสียแรงหนุนสำคัญทันที การเปลี่ยนทิศแบบนี้ปรากฏให้เห็นชัดในภาคเทคโนโลยี เมื่อบรรดานักเทรดเริ่มปิดสถานะที่มองโลกในแง่ดีเกินไป  นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าการย่อตัวครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนปัญหาพื้นฐานของหุ้นกลุ่ม AI แต่เป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนไปช่วงสั้นๆ ซึ่งกดดันกลุ่มหุ้นเติบโตสูงในวงกว้าง  ผลกระทบของการขาดข้อมูลเศรษฐกิจต่อความผันผวนของหุ้นกลุ่ม AI  ตอนนี้เรามีเพียงรายงานการจ้างงานเดือนกันยายนเท่านั้น ข้อมูลเดือนตุลาคมยังไม่ออก ข้อมูลเดือนพฤศจิกายนก็ยังไม่ออก และเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดกำลังจะมาถึงในเดือนธันวาคม เมื่อเฟดประกาศการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไป  สถานการณ์แบบนี้ทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้ยากขึ้นมาก  เมื่อไม่มีตัวเลขการจ้างงานล่าสุด ไม่มีสัญญาณเงินเฟ้อ และไม่มีถ้อยแถลงชัดเจนจากเฟด นักเทรดจึงไม่อาจไล่ซื้อหุ้นกลุ่ม AI ที่ราคาพุ่งสูงได้อย่างมั่นใจ ช่วงรอคอยนี้ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้ตลาด และความผันผวนก็สูงขึ้นตามธรรมชาติเมื่อความมั่นใจเริ่มลดลง  กลุ่มหุ้น AI จึงกลายเป็นเหยื่อรายแรกของความลังเลนี้  เหตุใดหุ้นกลุ่ม AI จึงปรับฐาน หลังจากพุ่งแรงมาหลายเดือน  ก่อนเกิดการย่อตัวรอบนี้ หุ้นกลุ่ม AI รายใหญ่หลายตัวพุ่งขึ้นแรงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนตุลาคม Nvidia, AMD, Broadcom, Microsoft และระบบนิเวศโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั้งหมด ซื้อขายกันที่ระดับมูลค่าที่สูงมาก  นักลงทุนไม่ได้ทิ้งธีม AI พวกเขาเพียงแค่ทำกำไรบางส่วนออกมาเท่านั้น  การรีเซ็ตตัวรอบนี้ไม่ได้ทำให้เทรนด์ AI หายไป มันเพียงดึงราคาให้กลับลงมาอยู่ในระดับที่นักเทรดรู้สึกสบายใจกว่าในช่วงที่ภาพเศรษฐกิจมหภาคยังไม่ชัดเจน  ลองคิดซะว่าตลาดกำลัง ผ่อนลมหายใจ หลังจากกลั้นมาหลายเดือน  หากต้องการอ่านเจาะลึกว่าทำไมหุ้นกลุ่ม AI ถึงเหวี่ยงแรงในแต่ละรอบของกระแสความคาดหวัง คุณสามารถอ่านบทวิเคราะห์ก่อนหน้าของเราได้ที่: เราถาม ChatGPT ว่า: กระแส AI ครั้งนี้คือฟองสบู่ Dot Com ยุคใหม่หรือไม่?  ผลกระทบของความไม่แน่นอนจากเฟดต่อหุ้นกลุ่ม AI  นี่คือเหตุผลจริงที่อยู่เบื้องหลังความผันผวน ตลาดยังไม่รู้ว่าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นเมื่อใด   ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้นักลงทุนเข้าสู่โหมด ตั้งรับ เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงนานขึ้น หุ้นเติบโตสูงจะสูญเสียแรงส่ง เพราะกำไรในอนาคตถูกคิดลดมูลค่ามากขึ้น  กลุ่มหุ้น AI มักตอบสนองต่อความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยเร็วกว่าแทบทุกกลุ่ม ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นเปลี่ยน หุ้นกลุ่มนี้จึงมักเป็นกลุ่มแรกที่โดนผลกระทบหนักที่สุด  จนกว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นในเดือนธันวาคม ความไม่แน่นอนนี้ยังคงมีผลต่อการกำหนดราคาในตลาด  ชาร์ตสำคัญที่ต้องจับตา: หุ้นผู้นำด้าน AI ยังมีโครงสร้างขาขึ้น  แม้จะมีการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา แต่หุ้นกลุ่ม AI ชั้นนำหลายตัวยังคงแสดงโครงสร้างขาขึ้นที่ชัดเจนบนกราฟ การย่อตัวรอบนี้สะท้อนทั้งอารมณ์ตลาดและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค มากกว่าจะเป็นสัญญาณว่าระยะยาวเริ่มเสียแนวโน้ม ต่อไปนี้คือสามหุ้นสำคัญที่แสดงภาพนี้ได้อย่างชัดเจน  Nvidia (NVDA)  Nvidia ยังคงรักษาโครงสร้างขาขึ้นที่แข็งแรง โดยมีแนวรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับฐานรอบล่าสุดเพียงแค่ดันราคาให้เข้าใกล้โซนที่ผู้ซื้อปกป้องไว้เสมอ โครงสร้างภาพรวมยังดูดีและไม่มีสัญญาณว่ากำลังหมดแรงขึ้น  Broadcom (AVGO)  ชาร์ตของ Broadcom แสดงให้เห็นว่าราคายังยืนเหนือโซนรับสำคัญและใกล้ระดับสูงก่อนหน้า การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงหลังยังคงรักษาโครงสร้างขาขึ้นในภาพใหญ่ไว้ได้ โมเมนตัมก็ยังแข็งแรง AVGO แสดงโมเมนตัมสม่ำเสมอจากความต้องการด้าน AI networking และการย่อตัวรอบนี้ก็ไม่ละเมิดระดับโครงสร้างใดๆ แนวโน้มยังอยู่ครบและสะท้อนถึงความสนใจของสถาบันที่ยังต่อเนื่อง   Tesla (TSLA)  Tesla มักเคลื่อนไหวผันผวนกว่าหุ้นกลุ่ม AI ตัวอื่น แต่โครงสร้างภาพกว้างยังถือว่าดูดี TSLA ยังคงทำจุดต่ำใหม่ที่สูงขึ้น และรักษาโซนรับสำคัญที่ดึงดูดผู้ซื้อมาโดยตลอดไว้ได้   สามชาร์ตนี้บอกเราชัดเจนอย่างหนึ่ง เรื่องราวไม่ได้เปลี่ยนไป แนวโน้มยังไม่เสีย เพียงแต่อารมณ์ตลาดเริ่มเย็นลงจนกว่าเราจะได้ความชัดเจนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมา และการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคม  หุ้นกลุ่ม AI ร่วงเพราะปัจจัยมหภาค ไม่ใช่พื้นฐาน  […]

2025-11-28 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

บิตคอยน์กำลังเข้าสู่ตลาดหมีแล้วหรือยัง?

หลังจากพุ่งขึ้นมากกว่า 70% ตั้งแต่เดือนเมษายน คริปโตเบอร์หนึ่งของโลกก็ได้ปรับตัวลงมาแล้วประมาณ 26% จากจุดสูงสุด ทำให้หลายคนเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ของคริปโตแครช และการเกิดตลาดหมีรอบใหม่  แต่คำถามที่สำคัญจริงๆ คือ ตอนนี้บิตคอยน์เข้าตลาดหมีแล้วจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงการย่อตัวกลางรอบตามวัฏจักรเท่านั้น  อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเป็นตลาดหมี ทั้งปัจจัยมหภาค จังหวะของวัฏจักร และประวัติของบิตคอยน์เอง ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า นี่อาจเป็นเพียงการรีเซ็ตภายในรอบขาขึ้นใหญ่ของคริปโตเท่านั้น  เราอยู่ในตลาดกระทิงหรือหมี  โดยทั่วไปแล้ว หากจะบอกว่าเข้าสู่ตลาดหมี ราคาต้องร่วงลงมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ไม่ใช่ 26 เปอร์เซ็นต์ และสำหรับคริปโต การย่อตัวในช่วง 20 ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แม้ในช่วงขาขึ้นแรงๆ  ในความเป็นจริงแล้ว  แล้วตอนนี้เราอยู่ตรงไหน  การลงมาประมาณ 26 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าอยู่ในช่วงล่างของการปรับฐานปกติ ไม่ใช่การเสียโครงสร้างสำคัญ คำถามว่า “บิตคอยน์จะขึ้นต่อไหม” จึงขึ้นอยู่กับภาวะการย่อตัวรอบนี้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มากกว่า  ในตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกว่าเป็นตลาดหมีแบบยืนยัน โครงสร้างภาพใหญ่ยังคงแข็งแรงอยู่  ภาพมหภาคของบิตคอยน์ยังชี้ว่ามีโอกาสขึ้นต่อ  ลองมองภาพใหญ่ในเชิงมหภาค  • มีแนวโน้มว่าดอกเบี้ยจะถูกปรับลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า  ซึ่งโดยทั่วไป การลดดอกเบี้ยมักกระตุ้นสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโตด้วย  • ตอนนี้เริ่มมีการพูดถึงสภาพคล่องแบบคล้าย QE หากเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแรง   สภาพคล่องที่มากขึ้นถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีต่อบิตคอยน์และตลาดหุ้น  • ผลตอบแทนแท้จริงที่ลดลงก็มักจะส่งผลดีต่อบิตคอยน์เช่นกัน  บิตคอยน์มักเคลื่อนไหวคล้ายสินทรัพย์ที่มีเบต้าสูง เมื่ออัตราผลตอบแทนลดลง ความสนใจจากนักลงทุนจะเพิ่มขึ้น  เมื่อรวมสิ่งเหล่านี้เข้ากับกระแสเงินไหลเข้าจาก ETF และดีมานด์ของสถาบัน ภาพรวมของวัฏจักรจึงยังคงเอียงไปในทาง ขาขึ้น ไม่ใช่ขาลง  นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนระยะยาวหลายคนเชื่อว่า เรายังอยู่เพียงช่วงต้นของรอบขยายตัวรอบนี้เท่านั้น  อะไรทำให้บิตคอยน์ร่วงลง?  ปัจจัยจริงที่ตรวจสอบได้มีดังนี้:  1. การทำกำไรหลังจากขึ้นมา 70%  กองทุนรายใหญ่ล็อกกำไรบางส่วน ไม่ใช่สัญญาณขาลง แค่พฤติกรรมตลาดปกติ  2. การหมุนเงินของ ETF (กระแสเงินเข้า BlackRock และ Fidelity ชะลอตัวชั่วคราว)  กระแสเงินเข้า ETF ไม่ได้พลิกเป็นไหลออก แค่ชะลอลงไม่กี่สัปดาห์หลังจากมีเงินไหลเข้ารอบใหญ่การพักตัวนี้เพียงพอที่จะเปิดช่องให้ฝั่งขายคุมเกมระยะสั้นได้  สิ่งนี้สอดคล้องกับความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อ การคาดการณ์ BlackRock Bitcoin ETF ปี 2025 เพราะสถาบันอาจเพิ่มการสะสมเมื่อภาพเศรษฐกิจชัดขึ้น  3. แรงขายจากนักขุด  หลัง Halving นักขุดมักต้องขาย BTC มากขึ้นเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เป็นแรงขายเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพราะมุมมองขาลง และตามสถิติจะกินเวลาประมาณ 2–3 เดือน  4. สภาพคล่องทั่วโลกตึงตัวชั่วคราว  ทอง หุ้น และคริปโต ต่างก็พักลงพร้อมกันเพราะสภาพคล่องโลกตึงตัวเล็กน้อย สถานการณ์แบบนี้ทำให้ตลาดเข้าสู่โหมด “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” ก่อนจะเกิดตัวเร่งเศรษฐกิจรอบใหม่   ทั้งสี่ปัจจัยรวมกันก่อให้เกิดเพียง ภาวะอุปทานล้นแบบชั่วคราว ไม่ใช่สัญญาณว่าตลาดบิตคอยน์กำลังแตกหรือเข้าสู่ขาลงระยะยาว  ความเสี่ยงจากการหมุนเงิน: ทองกำลังแย่งสภาพคล่องจากบิตคอยน์จริงไหม?  นี่คือมุมที่น้อยคนพูดถึง แต่คุณควรรู้ไว้  ตอนนี้ทองกำลังพุ่งแรง สภาพคล่องที่ไหลออกไปก่อนหน้านี้กำลังไหลกลับเข้าทองอีกครั้ง ขณะที่บิตคอยน์เริ่มเย็นลง  คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น:  สภาพคล่องของบิตคอยน์กำลังหมุนเข้าสู่ทองหรือไม่?  ก็มีความเป็นไปได้  แบบชั่วคราว  ทองตอนนี้ใกล้ทำจุดสูงสุดตลอดกาล ส่วนบิตคอยน์ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดของตัวเองอยู่ เมื่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เงินบางส่วนมักจะไหลจากสินทรัพย์ผันผวน (BTC) ไปยังสินทรัพย์ที่ “ปลอดภัยกว่า” อย่างทอง  แต่สิ่งนี้ไม่ได้แปลว่ารอบขาขึ้นของบิตคอยน์จบแล้ว ตามประวัติศาสตร์ ทองและบิตคอยน์ผลัดกันเด่นขึ้นอยู่กับช่วงของวัฏจักรเศรษฐกิจ และสุดท้ายก็มักจะกลับมาขึ้นคู่กันเมื่อสภาพคล่องกลับมา  ตอนนี้ ทองกำลังพักกินสภาพคล่องจาก BTC แต่รอบวัฏจักรเปลี่ยนเร็วเสมอ  มุมมองทางเทคนิค: บิตคอยน์ไม่ได้พัง  มาดูกราฟกันก่อน  บิตคอยน์ยังคงยืนอยู่เหนือ จุดต่ำระยะยาวที่ยกตัวสูงขึ้น โครงสร้างราคาโดยรวมยังไม่เสีย เพียงแค่เป็นช่วงพักฐาน ไม่ใช่ภาวะล่มสลายของแนวโน้ม  และนี่คือจุดสำคัญที่หลายคนลืมไป:  เหตุการณ์ย่อตัวแบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเดือนมีนาคม 2025  จากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า ราคาบิตคอยน์เคยร่วงลงมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งลึกกว่าการปรับฐานรอบนี้ที่ราว 26 เปอร์เซ็นต์ที่เราเห็นในตอนนี้  แต่ถึงอย่างนั้น  หลังจากการร่วงครั้งนั้น บิตคอยน์กลับเข้าสู่ช่วงสะสมตัวใหม่ ความเชื่อมั่นในตลาดถูกรีเซ็ต และแนวโน้มขาขึ้นก็เดินหน้าต่อ  การเคลื่อนไหวในรอบปัจจุบันนี้มีลักษณะ คล้ายกันมาก  ประวัติศาสตร์อาจไม่เกิดซ้ำแบบเดิมทุกจุด แต่ก็มักจะ คล้องจองกัน เสมอ  […]

2025-11-20 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป 

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

เราถาม ChatGPT ว่า: กระแส AI ครั้งนี้คือฟองสบู่ Dot Com ยุคใหม่หรือไม่? 

คำตอบสั้นๆ คือ ยังไม่ใช่… อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงตอนนี้ แต่เรากำลังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ   กระแส AI กำลังร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่ ชิปใหม่ๆ โมเดลที่ฉลาดขึ้น และมูลค่าตลาดระดับล้านล้านดอลลาร์เกิดขึ้นทุกหนแห่ง  นักลงทุนเรียกมันว่า “อินเทอร์เน็ตรุ่นถัดไป” แต่ประวัติศาสตร์กำลังส่งสัญญาณเตือนว่า เราเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว   จากหุ้น AI ที่พุ่งขึ้นจนกราฟแทบจะเป็นเส้นโค้งพาราโบลา คล้ายกับฟองสบู่ Dot Com ปี 1999 ความคล้ายคลึงนั้นยากจะมองข้ามได้ คำถามคือ กระแส AI Boom ครั้งนี้จะจบลงด้วยการปรับฐานอย่างนุ่มนวล หรือจะกลายเป็น วิกฤตเทคโนโลยีครั้งใหญ่ กันแน่  มาดูไปพร้อมกันกับกราฟ ข้อมูลจริง และมุมมองจากบุคคลสำคัญอย่าง Bill Gates และ Jerome Powell ประธานเฟด ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับความคลั่งไคล้ AI ในยุคนี้  กระแส AI Boom ชวนให้นึกถึงอดีต  การพุ่งขึ้นของหุ้นในกลุ่ม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดูคล้ายกับฟองสบู่ในปี 1999 อย่างน่าประหลาด ในเวลานั้น “อินเทอร์เน็ต” คืออนาคต แต่วันนี้ “AI” คืออนาคตใหม่  ในทั้งสองยุค นักลงทุนทุ่มเงินมหาศาลเข้าสู่โมเดลธุรกิจที่ยังไม่ได้พิสูจน์ความสำเร็จ ครั้งนั้นคือเว็บไซต์ ส่วนครั้งนี้คือศูนย์ข้อมูล ชิป และอัลกอริทึม   อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกระแสความร้อนแรงจะจบลงเหมือนกัน ต่างจากฟองสบู่ Dot Com Boom ผู้นำในยุค AI อย่าง Nvidia, Microsoft, AMD, Amazon และ Alphabet ล้วนเป็นบริษัทที่มีกำไรและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง นั่นคือความแตกต่างสำคัญจากฟองสบู่ปี 2000 ซึ่งในตอนนั้นบริษัทจำนวนมากยังแทบไม่มีรายได้ด้วยซ้ำ  เรายังอาจได้เห็นการพุ่งขึ้นแบบพาราโบลาก่อนหรือไม่  ลองดูกราฟนี้สิ  กระแสการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม AI ตอนนี้ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของปี 2000 เมื่อเทียบกับฟองสบู่ Dot Com นั่นหมายความว่า เราอาจได้เห็นการพุ่งขึ้นรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดการปรับฐานใหญ่ในตลาดหุ้น AI  นี่คือพฤติกรรมเดียวกันกับตอนที่ฟองสบู่อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในอดีต  ดังนั้น แม้เรายังไม่ถึงจุดสูงสุดของรอบนี้ แต่รูปแบบที่เกิดขึ้นกลับดูคุ้นตาอย่างมาก ราวกับกำลังจะเกิด “การพุ่งขึ้นก่อนการย่อตัวครั้งใหญ่” อีกครั้ง   อัตราส่วน Nasdaq ต่อ Dow: ภาพซ้ำของปี 2000  อัตราส่วน Nasdaq-to-Dow บอกเรื่องราวที่ชัดเจน   หุ้นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำผลตอบแทนได้เหนือกว่าหุ้นอุตสาหกรรมและการเงินอย่างทิ้งห่าง คล้ายกับช่วง Dot Com Boom ในอดีต  ทุกครั้งที่อัตราส่วนนี้พุ่งแรงขนาดนี้ ประวัติศาสตร์มักบ่งชี้ว่าการปรับฐานกำลังจะตามมา อย่างไรก็ตาม รอบนี้มีความแตกต่างอยู่บ้าง เพราะฟองสบู่ AI Bubble ถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจริง ไม่ใช่แค่ความฝันบนกระดาษ    ทั้ง คลาวด์คอมพิวติ้ง ศูนย์ข้อมูล และความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้น ล้วนสร้างการเติบโตที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงภาพลวงตาทางเทคโนโลยี  อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในหุ้น AI ชั้นนำอย่าง Nvidia, Microsoft และ AMD ก็อาจหมายความว่าหากตลาดเริ่มชะลอตัว ผลกระทบจะรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  Bill Gates เตือนถึงฟองสบู่ AI ระยะเริ่มต้น  แม้แต่ Bill Gates ก็เห็นสัญญาณว่าฟองสบู่ AI อาจกำลังก่อตัวขึ้น เขากล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนนี้ว่า เรากำลังอยู่ใน “ช่วงเริ่มต้นของฟองสบู่ AI”  เหตุผลของเขาคือ มีสตาร์ทอัพจำนวนมากที่กำลังวิ่งตามเป้าหมายเดียวกัน พวกเขากำลังสร้าง เครื่องมือ AI ที่อาจไม่สามารถทำกำไรได้ในอนาคต และหากย้อนดูประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่บริษัทต่างๆ เริ่มประกาศว่า “เราขับเคลื่อนด้วย AI” มักจะเกิดการคัดกรองครั้งใหญ่ในตลาดตามมา  แต่ Gates ก็เสริมด้วยว่า ในรอบนี้ “ผู้ชนะจะยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” เช่นเดียวกับที่ Amazon และ Google รอดพ้นจากวิกฤต Dot Com Crash ไปได้ หุ้น AI ชั้นนำเพียงไม่กี่ตัวในตอนนี้อาจกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางของทศวรรษหน้า  เขากล่าวไว้ว่า: “เราจะได้เห็นการล้มเหลว แต่ผู้ที่อยู่รอดจะเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ให้กับทุกสิ่ง”  Powell โต้กลับ: “AI ยังไม่ใช่ฟองสบู่”  Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เห็นต่าง เขากล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า “AI ไม่ใช่ฟองสบู่เหมือนยุค Dot Com”  เหตุผลของเขาคือ การเติบโตด้านผลิตภาพในปัจจุบันสามารถวัดผลได้จริง AI ไม่ได้เป็นเพียงกระแส hype แต่กำลังขับเคลื่อนการลงทุนในภาคธุรกิจจริง โดยเฉพาะในด้านระบบอัตโนมัติ โลจิสติกส์ และซอฟต์แวร์  มุมมองของ Powell สอดคล้องกับจุดยืนของเฟดที่มองว่า กระแส AI Boom ในตอนนี้มีรากฐานจากโครงสร้างจริงมากกว่าการเก็งกำไร กล่าวโดยสรุป แม้ว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ในระดับสูง แต่ปัจจัยพื้นฐานก็แข็งแกร่งกว่ายุคปี 1999 มาก  […]

2025-11-06 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ราคาทองคำดิ่งแรง: กระทิงทองสิ้นสุดแล้วหรือยัง 

ราคาทองคำกำลังร่วงลงอย่างรวดเร็ว หลังจากทำกำไรต่อเนื่องมาหลายเดือน ตอนนี้โลหะมีค่าชนิดนี้กำลังเผชิญกับการปรับฐานครั้งใหญ่ นักเทรดทั่วโลกต่างตั้งคำถามเดียวกันว่า ทำไมราคาทองถึงร่วง  ในมุมแรกอาจดูเหมือนเป็นเพียงการย่อตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป แต่ลึกลงไปใต้พื้นผิวนั้น มีบางสิ่งที่ใหญ่กว่ากำลังเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องระดับโลก ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมทางการเงิน  เรามาดูกันว่า อะไรกันแน่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนราคาทองคำในปี 2025 ทำไมจีนและธนาคารกลางหลายประเทศยังคงสะสมทองคำ และการเทขายครั้งนี้เป็นเพียงความตื่นตระหนกระยะสั้น หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่ลึกกว่านั้น  เรื่องราว 10 ปีของทองคำ: จากสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ สู่สินทรัพย์ค้ำประกันสภาพคล่อง  ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทองคำได้เปลี่ยนจากบทบาทสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อแบบเดิม กลายมาเป็น สินทรัพย์หลักที่ค้ำจุนสภาพคล่องของระบบการเงินโลก  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ราคาทองคำยังคงทรงตัวอย่างน่าทึ่งตลอดทศวรรษ 2020 แม้ต้องเผชิญกับการขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่กระแสของบิตคอยน์ก็ตาม  แต่การร่วงของราคาทองคำในปัจจุบัน ไม่ได้มาจากอุปสงค์ที่ลดลง แต่เกิดจากแรงกดดันด้านสภาพคล่องในระบบการเงินโลก เมื่อนักลงทุนเทขายทองคำ ส่วนใหญ่มักเป็นเพราะต้องการแปลงสินทรัพย์เพื่อชำระมาร์จิ้น หรือปรับพอร์ตเข้าสู่เงินสด ไม่ใช่เพราะพวกเขาหมดศรัทธาในทองคำ  ดังนั้น การเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การล่มของทองคำ” อาจไม่สะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของตลาด  มุมมองทองคำและนโยบาย Reverse Repo ของเฟด  ราคาทองคำในตอนนี้สะท้อนสิ่งที่ลึกกว่าการตอบสนองต่อเงินเฟ้อธรรมดา  เมื่อปริมาณเงินในโครงการ Reverse Repo ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นกลไกให้ธนาคารและกองทุนพักเงินสดค้างคืน เริ่มลดลงจนเกือบแตะศูนย์ ราคาทองคำก็เริ่มพุ่งขึ้นทันที  และเมื่อยอดเงินดังกล่าวหายไปเกือบหมด ราคาทองคำก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทำไมถึงเกิดแบบนี้ เพราะเมื่อระบบการเงินขาดสภาพคล่องที่พักอยู่ในระบบ สินทรัพย์ค้ำประกันในรูปกระดาษเริ่มสั่นคลอน และเงินทุนจะไหลไปหาสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าอย่าง ทองคำ ซึ่งไม่สามารถผิดนัดชำระได้  ทองคำในตอนนี้จึงไม่ใช่เพียงสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็น สินทรัพย์ค้ำประกันคุณภาพสูงสุด หรือสินทรัพย์สุดท้ายที่ระบบการเงินยังคงเชื่อมั่น  โลกกำลังส่งสัญญาณเงียบๆ ว่า หากระบบดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันเกิดรอยร้าว ทองคำนี่แหละคือสิ่งที่ยังคงมีมูลค่า  การเปลี่ยนแปลงนี้อธิบายได้ว่าทำไม มูลค่าตลาดของทองคำ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้จะมีการปรับฐานระยะสั้น มันไม่ใช่เรื่องของการไล่ล่ากำไรอีกต่อไป แต่คือการปกป้องความมั่งคั่งจากระบบที่กำลังเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ  ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง  ขณะที่นักเทรดรายย่อยตื่นตระหนกกับราคาทองที่ร่วงลง ธนาคารกลางกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม พวกเขายังคงเข้าซื้อทองคำอย่างไม่เคยมีมาก่อน  จากข้อมูลล่าสุด ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเฉลี่ยต่อปีราว 830 ตันในปี 2025  เฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เพียงอย่างเดียว มีถึง 23 ประเทศที่เพิ่มปริมาณสำรองทองคำของตนเอง ซึ่งมากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยที่เคยเห็นระหว่างปี 2011 ถึง 2021 และนี่ถือเป็น ปีที่สี่ติดต่อกัน ที่การถือครองทองคำของธนาคารกลางอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำ 1,080 ตันในปี 2022, 1,051 ตันในปี 2023 และ 1,089 ตันในปี 2024 และในปี 2025 แนวโน้มยังคงต่อเนื่องเข้าสู่ ปีที่ 16 ติดต่อกันของการซื้อสุทธิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้  ก่อนปี 2010 ธนาคารกลางเคยเป็น “ผู้ขายสุทธิ” ทองคำติดต่อกันถึง 21 ปี แต่ปัจจุบันพวกเขาแทบหยุดซื้อไม่ได้เลย  สาเหตุสำคัญคือความเชื่อมั่นในระบบการเงินกระแสหลักเริ่มลดลง ทองคำไม่ใช่หนี้สินของใคร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวอชิงตัน ปักกิ่ง หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB)  เมื่อรัฐบาลกระจายความเสี่ยงในเงินสำรอง พวกเขาไม่ได้ “ไล่ราคาทอง” แต่กำลัง “ซื้อประกันทางการเงิน” ต่างหาก  ดังนั้นการเรียกสถานการณ์นี้ว่า “วิกฤตราคาทองคำ” อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะแม้ราคาจะดูเหมือนลดลงบนกราฟ แต่ความเป็นเจ้าของทองคำกำลังเปลี่ยนจากนักเทรดรายย่อยไปสู่คลังสมบัติของรัฐบาลอย่างเงียบๆ  จีนยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง แม้ตลาดกำลังเทขาย  หากคุณสงสัยว่าทำไมราคาทองคำถึงร่วง ทั้งที่ความต้องการดูเหมือนยังสูงลิ่ว คำตอบอยู่ที่กระแสเงินระยะสั้น เพราะความต้องการจากจีนกำลังพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด  ข้อมูลจากตลาดทองเซี่ยงไฮ้ระบุว่า ใบรับประกันทองคำ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 86,565 กิโลกรัมในเดือนตุลาคม 2025 เพิ่มขึ้นถึง 27 เท่าจากปี 2024 และสูงกว่า 550% ภายในปีนี้เพียงปีเดียว  นี่ไม่ใช่การเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย แต่เป็นการที่ จีนกำลังสะสมสินทรัพย์จริง ท่ามกลางกระแสการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก  ขนาดของอุปสงค์ในครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่นักเทรดฝั่งตะวันตกทยอยหมุนเวียนเงินออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จีนกลับดูดซับอุปทานเหล่านั้นเข้าสู่การถือครองระยะยาว  กล่าวอีกนัยหนึ่ง การร่วงของราคาทองคำในตอนนี้อาจเป็นเพียง การปรับฐานชั่วคราว สิ่งที่ดูเหมือน “ความอ่อนแอของราคา” อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของทองคำจากนักลงทุนต่างชาติไปสู่การถือครองของประเทศขนาดใหญ่แทน  การวิเคราะห์ทางเทคนิคของทองคำ: ทิศทางต่อไปคืออะไร  จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำเพิ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลใกล้ 4,300 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์การกลับตัวอย่างรวดเร็วนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักเทรด และกระตุ้นให้เกิดการขายแบบอัตโนมัติในวงกว้าง   อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตลาดจำเป็นต้อง “พักหายใจ” แม้แต่เทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่งก็ต้องปรับฐานก่อนขึ้นต่อในรอบถัดไป  ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงยืนเหนือโซน 3,400–3,500 ดอลลาร์ โครงสร้างโดยรวมของตลาดยังคงแสดงถึงเสถียรภาพในระยะยาว  ความผันผวนลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงที่ตลาดเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ในทุกครั้งที่ราคาทองคำย่อตัวตั้งแต่ปี 2018 ไม่ว่าจะเป็นจากสงครามการค้า วิกฤตโรคระบาด หรือช็อกราคาในตลาด ทองคำมักสร้างฐานใหม่ก่อนดีดขึ้นอีกครั้ง  ด้วยเหตุนี้เอง นักวิเคราะห์ที่ติดตาม แนวโน้มราคาทองคำในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงยังไม่รีบประกาศว่ารอบตลาดขาขึ้นของทองคำได้สิ้นสุดลงแล้ว  บทบาทใหม่ของทองคำในระบบเศรษฐกิจโลก  เรื่องราวของทองคำในปี 2025 ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่เครื่องประดับหรือเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ ความเชื่อมั่น หลักประกัน และการคงอยู่ทางการเงิน  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก ราคาทองคำที่ปรับค่าเงินเฟ้อแล้วยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง แม้ในช่วงภาวะถดถอย ทองคำก็มักทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่รักษาเสถียรภาพของตลาด ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งใน การลงทุนไม่เสื่อมค่าจากเงินเฟ้อ ที่แทบจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ประเภทในตลาดโลก  เมื่อกระแสเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ทองคำหนึ่งตันมีมูลค่าเท่าไร” แต่คือ “ทองคำหนึ่งตันสะท้อนความเชื่อมั่นมากแค่ไหน”  ตั้งแต่ ราคาทองคำในปี 1980 จนถึง การคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2030 ความจริงข้อหนึ่งยังคงเดิมเสมอ ทุกครั้งที่ระบบการเงินเกิดรอยร้าว ทองคำจะถูกประเมินมูลค่าใหม่ให้สูงขึ้นในเชิงมูลค่าที่แท้จริง  ราคาทองคำจะฟื้นตัวหรือไม่  คำตอบสั้นๆ คือ ทองคำไม่จำเป็นต้อง “ฟื้นตัว” เพราะสิ่งที่ต้องฟื้นคือโลกต่างหาก ทุกครั้งที่สภาพคล่องในระบบการเงินตึงตัว ทองคำจะกลายเป็นกระจกสะท้อนสภาวะนั้นโดยตรง  เมื่อสินทรัพย์กระดาษสั่นคลอน ทองคำจะเปล่งประกาย บางครั้งอย่างเงียบๆ และบางครั้งก็อย่างรุนแรง ดังนั้นคำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ทำไมราคาทองคำถึงขึ้นหรือลง” แต่คือ “ทองคำกำลังส่งสัญญาณอะไรให้กับโลกในเวลานี้”  ไม่ว่าคุณจะจับตา การถือครองทองคำของจีน เงินสำรองของธนาคารกลาง หรือกระแสการไหลเวียนของทองคำในตลาดโลก รูปแบบที่เห็นคือสิ่งเดียวกัน เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน การสะสมทองคำก็เริ่มต้นขึ้น  ดังนั้น แม้ราคาทองคำบนกราฟอาจดูเหมือนกำลังร่วง แต่ภายใต้พื้นผิวนั้น รากฐานใหม่ของความเชื่อมั่นระดับโลกกำลังถูกสร้างขึ้นทีละแท่งทองคำ 

2025-10-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

สารจาก Doo PrimeIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

2025-12-18 | สารจาก D Prime

รายงานปริมาณการซื้อขายของ D Prime เดือนพฤศจิกายน 2025 ชะลอตัวลงตามภาวะตลาด

ปริมาณการซื้อขาย ของ D Prime เดือนพฤศจิกายน 2025 อยู่ที่ 167.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังความผันผวนของตลาดลดลงจากการพุ่งแรงในเดือนตุลาคม 

อ่านต่อ

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป 

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

แคมเปญเส้นทางรางวัลครบรอบ 11 ปี เริ่มแล้ว: เทรดเพื่อคว้าเงินสด ทองคำ และของขวัญพรีเมียมสุดหรู  

ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เทรดเดอร์จากทั่วทุกมุมโลกมีส่วนช่วยสร้างการเดินทางครั้งนี้ขึ้นมา ทุกกราฟที่วิเคราะห์ ทุกคำสั่งเทรด และทุกช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ ล้วนเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน การครบรอบในปีนี้ไม่ใช่เพียงหมุดหมายสำคัญ แต่คือการเฉลิมฉลองของชุมชนเทรดเดอร์ ที่เปลี่ยนความก้าวหน้าให้กลายเป็นแรงส่ง และแรงส่งนั้นได้กลายเป็นมรดกแห่งความสำเร็จ  วันนี้ เส้นทางสำหรับแคมเปญครบรอบ 11 ปีได้เปิดขึ้นแล้ว ที่นี่ ทุกระดับคือเส้นชัย และทุกการเทรดจะพาคุณเข้าใกล้รางวัลที่สะท้อนถึงผลงานของคุณมากยิ่งขึ้น  การเทรดของคุณ รางวัลของคุณ  ตั้งแต่เงินสดไปจนถึงของขวัญพรีเมียม รวมถึงเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์ ของสะสมสุดหรู ทองคำแท่ง 40 กรัม และนาฬิกา TAG Heuer รางวัลในโอกาสครบรอบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อไม่เพียงแค่ยกย่องการมีส่วนร่วมของคุณ แต่เพื่อเชิดชูความสำเร็จของคุณอย่างแท้จริง   การวิ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  การนับถอยหลังสิ้นสุดลง และการแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  นี่คือการแข่งขันที่ชนะได้ด้วยความสม่ำเสมอ กลยุทธ์ และแรงผลักดัน ยิ่งคุณไต่ระดับได้สูงเท่าไร รางวัลของคุณก็ยิ่งพิเศษมากขึ้นเท่านั้น  ช่วงเวลาแคมเปญ 22 ตุลาคม – 21 พฤศจิกายน 2025 (UTC +0)  ช่วงเวลาแลกรางวัล 26 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2025 (UTC +0)  เข้าร่วมการแข่งขันได้ที่ เส้นทางสู่รางวัล  ยิ่งเทรดมาก ยิ่งได้มาก  ตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายของคุณ ทุกล็อตที่เทรดมีความหมาย ทุกระดับที่คุณไต่ขึ้นไปจะพาคุณเข้าใกล้การเฉลิมฉลองอันคู่ควรกับวาระครบรอบนี้ ที่ระดับสูงสุดจะมีเงินสดมูลค่า 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือของขวัญสุดหรูที่สะท้อนถึงเกียรติยศเหนือเส้นชัย  11 ปีแห่งเทรดเดอร์  การเฉลิมฉลองระดับโลก  การวิ่งครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของรางวัล แต่มันคือการเฉลิมฉลองทุกเส้นทางที่ปูทางมาถึงช่วงเวลานี้ ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เทรดเดอร์อย่างคุณได้เปลี่ยนการเคลื่อนไหวให้กลายเป็นความชำนาญ และเปลี่ยนการมีส่วนร่วมให้กลายเป็นความก้าวหน้า  การเฉลิมฉลองนี้เป็นของชุมชนเทรดเดอร์ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา นี่คือหลักฐานแห่งการเติบโต ความเชื่อมั่น และแรงผลักดันร่วมกัน  11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งเหนือสิบ ก้าวขึ้นไปพร้อมกัน  ลงทะเบียนตอนนี้ 

2025-11-10 | โปรโมชั่น

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯ รอบวันที่ 31 ตุลาคม 2568 

เราขอแจ้งให้คุณทราบว่า จะมีการปรับข้อ กำหนดด้านมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯหลายรายการ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ  เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพของตลาดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการประกาศผลประกอบการ อัตราหลักประกันสำหรับหุ้นที่ระบุด้านล่างจะถูกปรับชั่วคราวเป็น 20% (เลเวอเรจ 1:5) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ก่อนเวลา 20:30 น. (UTC+7)   วิธีการดำเนินการ  การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า คุณจะต้องวางหลักประกันเท่ากับ 20% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งเทียบเท่ากับการลดเลเวอเรจเป็น 1:5 การปรับนี้มีขึ้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเทรดที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการประกาศผลประกอบการ  หุ้นที่ได้รับผลกระทบ – รอบปัจจุบัน  ชื่อหุ้น  สัญลักษณ์  วันที่ประกาศผลประกอบการ  Pfizer Inc  PFE  31/10/2568  Uber Technologies Inc  UBER  Robinhood Markets Inc  HOOD  Beyond Meat Inc  BYND  QUALCOMM Inc  QCOM  ConocoPhillips  COP  สิ่งที่คุณควรดำเนินการ  หากคุณถือสถานะใน CFDs หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบ:  หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนี้ หรือหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรุณาติดต่อทีมสนับสนุนของเราได้ทุกเมื่อ 

2025-10-30 | สารจาก D Prime

ปริมาณการเทรดของ D Prime เพิ่มขึ้น 37% ในเดือนกันยายน 2025  

เดือนกันยายนถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของ D Prime และเหล่านักเทรดทั่วโลก ท่ามกลางความผันผวนของตลาดและกระแสข่าวระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กิจกรรมการเทรดพุ่งสูงแตะระดับใหม่ D Prime บันทึกปริมาณการเทรดรวม 191.51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในตลาดที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   สรุปปริมาณการเทรดเดือนกันยายน 2025  ทั้งปริมาณการเทรดรวมและปริมาณการเทรดเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนกันยายน แสดงให้เห็นถึงแรงขับเคลื่อนของตลาดที่แข็งแกร่งและการมีส่วนร่วมของนักเทรดในผลิตภัณฑ์หลักที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก  ปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดในเดือนกันยายน  ตลาดมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักตลอดเดือนกันยายน โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดเบสิก ยืนยันมุมมองของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การตัดสินใจดังกล่าวช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและหนุนให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น  ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง ส่งผลให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น ทองคำจึงกลายเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดของเดือน โดยราคาพุ่งทะลุ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดใหม่  คู่สกุลเงิน XAU/USD มีปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นประมาณ 54.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตมากที่สุดในเดือนกันยายน สะท้อนถึงความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมและแนวโน้มตลาด  ทองคำไม่ใช่เพียงสินทรัพย์เดียวที่ได้รับความสนใจจากนักเทรดในเดือนกันยายน นอกจาก XAU/USD แล้ว คู่สกุลเงิน EUR/USD, GBP/USD, US30 และ NAS100 ยังติดอันดับผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่มีปริมาณการเทรดสูงสุดด้วย  นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในพฤติกรรมของนักเทรด โดย NAS100 ได้ก้าวเข้าสู่ 5 อันดับสินค้าที่มีการเทรดมากที่สุด แทนที่ BTC/USD จากเดือนก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่านักเทรดกำลังมองหาการกระจายความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น และเปิดรับโอกาสใหม่ในดัชนีหุ้น  ความแข็งแกร่งและแรงส่งต่อเนื่องในอนาคต  แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แต่ D Prime ยังคงมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์การเทรดที่มั่นคง มีประสิทธิภาพ และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยปริมาณการเทรดรวมของแพลตฟอร์มเติบโตขึ้น 48.85% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แสดงถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มและความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก  ในขณะที่ตลาดยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง D Prime ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถรับมือกับทุกโอกาสได้อย่างมั่นใจ ผ่านการมอบข้อมูลเชิงลึก เครื่องมือ และการสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จในระยะยาว 

2025-10-27 | ข่าวสาร D Prime

D Prime สรุปความสำเร็จจากงาน Forex Expo Dubai 2025 

D Prime ปิดฉากการเข้าร่วมงาน Forex Expo Dubai 2025 อย่างยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 ตุลาคม ณ ศูนย์การค้าโลก ดูไบ (World Trade Center Dubai) ในฐานะที่เป็น งานฟอเร็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง งานนี้ได้รวบรวมโบรกเกอร์ชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านฟินเทค และเทรดเดอร์ผู้มีแพสชันจากทั่วโลกเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง  ปีนี้ถือเป็นปีที่พิเศษสำหรับ D Prime เพราะเราได้แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมการเทรดล่าสุดควบคู่กับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ สะท้อนถึงการพัฒนาและความมุ่งมั่นในการเป็นพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้สำหรับเทรดเดอร์ทั่วโลก หลังจากการปรากฏตัวในงานที่อินเดียและประเทศไทย การเข้าร่วมงานที่ดูไบในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ D Prime ในการเชื่อมโยงกับชุมชนเทรดเดอร์ที่หลากหลายจากทั่วโลก  ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องต่อภูมิภาค MENA  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ D Prime เข้าสู่ตลาด MENA และแน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ภายในงานที่บูธ #109 D Prime ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเชื่อมโยงกับเทรดเดอร์ในหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ตลอดสองวันที่เต็มไปด้วยความคึกคัก บูธของเรามีชีวิตชีวาเมื่อผู้เข้าชมได้สัมผัสถึงการขยายเครือข่ายระดับโลกของ D Prime แพลตฟอร์มการเทรดที่ล้ำสมัย และการให้บริการที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง  “น่าทึ่งมากที่ได้เห็นว่า D Prime สามารถเชื่อมต่อกับเทรดเดอร์จากทั่วโลกได้อย่างไร ผมได้พบผู้คนจากยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นสากลของชุมชนนี้ได้อย่างแท้จริง” ผู้เข้าร่วมงานคนหนึ่งกล่าวระหว่างการเข้าชมงาน Expo  ภายในประสบการณ์บูธของ D Prime  เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน D Prime ได้จัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่ทั้งน่าสนใจ มอบรางวัล และสร้างแรงบันดาลใจ  ตั้งแต่ของที่ระลึกสุดพิเศษสำหรับผู้เยี่ยมชมทุกคน ไปจนถึงการแข่งขันถ่ายภาพบน Instagram ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมเก็บภาพช่วงเวลาที่ดีที่สุดภายในงาน Expo เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพรีเมียม บรรยากาศภายในบูธเต็มไปด้วยพลังและความสนุกอย่างต่อเนื่อง  กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก กระตุ้นให้เกิดบทสนทนาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับวิธีที่ D Prime สามารถ ยกระดับประสบการณ์และองค์ความรู้ของเทรดเดอร์ได้อย่างแท้จริง  เสริมสร้างสายสัมพันธ์และก้าวสู่อนาคต  สำหรับ D Prime งาน Forex Expo Dubai ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานแสดงสินค้าเท่านั้น แต่เป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมโยง แบ่งปันมุมมอง และ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตและความเป็นเลิศ ภาพลักษณ์ใหม่ของเราไม่ใช่แค่การอัปเดตดีไซน์ แต่คือการประกาศถึงพลัง แรงบันดาลใจ และอนาคตที่เรากำลังร่วมกันสร้างกับลูกค้าทั่วโลก   เราภูมิใจกับความสัมพันธ์และพลังงานที่เกิดขึ้นระหว่างงานอย่างยิ่ง ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชมบูธของเรา เข้าร่วมกิจกรรม และพูดคุยกับทีมงานของเรา ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้  นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น D Prime จะยังคงขยายการเติบโตในภูมิภาค MENA และทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรม สร้างโอกาส และส่งแรงบันดาลใจให้แก่นักเทรดทั่วโลก  โปรดติดตามกิจกรรมใหญ่ครั้งต่อไปของเรา ที่จะมาพร้อมเซอร์ไพรส์และประสบการณ์สุดพิเศษจาก D Prime 

2025-10-15 | กิจกรรม